"จังหวัดสุพรรณบุรี"
เป็นจังหวัดเก่าแก่จังหวัดหนึ่ง อยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศไทย
,uีอายุถึง
ยุคหินใหม่ ประมาณ 3,500 - 4,000
ปีสืบต่อเนื่องกันเรื่อยมาจนถึงยุคสัมฤทธิ์และเหล็กอายุราว
2,500 ปี ล่วงเข้าสู่ยุคสุวรรณภูมิ ฟูนัน อมรวดี
ทวารวดี ลพบุรี อู่ทอง อยุธยา และปัจจุบันนี้โบราณวัตถุ โบราณสถาน
ที่พบเป็นประจักษ์พยานบ่งบอกว่าจังหวัดสุพรรณฯ
มีอายุสูงถึงยุคหินใหม่จริง ไม่เพียงเท่านั้นจังหวัดสุพรรณบุรี
ยังเป็นเมืองพุทธศาสนาอีกด้วย
จากการขุดค้นพบพุทธปฏิมากรรมทั่วทั้งจังหวัดสุพรรณบุรี จากสถิติพบไมj
่น้อย กว่า 140 - 150 ครั้ง
ตั้งแต่สมัยอมราวดีเป็นต้นมา
ทำให้สันนิษฐานได้ว่าจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นเมืองที่
พุทธศาสนาฝังรากไว้อย่างหนาแน่น ไม่น้อยกว่า
2,3000 ปีมาแล้ว ราว พ.ศ. 700 -800
อาณาจักสุวรรณภูมิ
ซึ่งมีนครปฐุมเป็นราชธานี
ต้องตกเป็นเมืองออกของจีนและเขมร ต่อมาราวพ.ศ. 1113
พวกไทยเมืองละโว้
ได้กู้อิสระภาพสำเร็จ
อาณาจักรสุวรรณภูมิโบราณนี้ได้กลับมีความเจริญรุ่งเรืองอีกวาระหนึ่งและมีชื่อใหม่ว่า
"อาณาจักรทวารวดี"ในสมัยนั้น เมืองอู่ทอง (สุพรรณบุรี)
คงจะเจริญเป็นบึกแผ่นแล้วดังที่กรมพระยาดำรง
ราชานุภาพ เล่าไว้ในนิทานโบราณคดีเรื่อง
"เมืองอู่ทอง"ว่า"ข้าพเจ้าเข้าไปดูเมืองท้าวอู่ทอง เมืองตั้งอยู่
ฝั่งตะวันตกของลำน้ำ จระเข้สามพัน
ดูเป็นเมืองเก่าใหญ่โต เคยมีป้อมปราการก่อด้วยศิลา แต่หักพังไปเสีย
เกือบหมดแล้ว
ยังเหลือคงรูปแต่ประตูเมืองแห่งหนึ่งกับป้องปราการ.."
เมืองทวารวดี (นครปฐม)
เจริญแล้วก็เสื่อมลงตามความเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์บ้าง จากสงครามบ้าง
บางคราวถึงกับทิ้งร้างไปนานๆ ถึงสมัยอู่ทอง พระยาพานได้พยายามบูรณะใหม่
แต่น้ำท่าไม่อุดมสมบูรณ์ เหมือนสมัยโบราณ
พระยาพานจึงได้แต่เพียงซ่อมองค์ พระปฐมเจดีย์
แล้วสถาปนาเมืองพันธุมบุรีที่บนฝั่งแม่น้ำ (ท่าจีน) ขึ้นแทนระหว่าง
พ.ศ. 1420 - 1425 และได้ครองเมืองนี้
ต่อมาจนสวรรคต ในราว พ.ศ. 1459
พระพรรษาได้ครองราชย์แทน แต่แล้วกลับเสด็จไปครองเมืองอู่ทอง
ซึ่งใหญ่กว่า เมืองอู่ทอง จึงเป็นราชธานี เรียกกว่า
"เมืองศรีอยุธยา" อยู่พักหนึ่งต่อจากนั้นเหตุการณ์
เมืองพันธุมบุรีได้เงียบหายไปราวสองศตวรรษ
มาปรากฏเรื่องราวอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้ากาแต เชื้อสาย
มอญได้เสวยราชย์ในเมืองอู่ทอง
แล้วย้ายราชธานีกลับมาอยู่ที่เมืองพันธุมบุรี ได้มอบหมายให้มอญน้อย
(พระญาติ) สร้างวัดสนามไชยและบูรณะวัดลานมะขวิด (วัดป่าเลไลยก์)
ในบริเวณเมืองพันธุมบุรีเสียใหม่
เมื่อบูรณะวัดแล้วทางราชการได้เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา
และชวนกันออกบวชถึงสองพันคน จึงได้เรียก
ชื่อเมืองนี้ใหม่ว่า "เมืองสองพันบุรี" เมืองอู่ทอง
มีกษัตริย์ครองราชย์สืบต่อกันมาหลายพระองค์ เรียกว่า "พระเจ้าอู่ทอง"
ทั้งสิ้น และพระราชธิดาของพระเจ้าอู่ทอง ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าราม
โอรสพระเจ้า
ศิริชัยเชียงแสน
ต่อมาพระเจ้ารามขึ้นครองเมืองอู่ทองแทน (พ่อตา) คนทั่วไปก็เรียกว่า
"พระเจ้าอู่ทอง"
เมื่อขุนหลวงพะงั่ว (พี่มเหสี)
ขึ้นครองเมืองสองพันบุรี
และได้ย้ายไปครองเมืองอู่ทองเมืองอู่ทองต้องกลาย
เป็นเมืองร้าง
เพราะแม่น้ำจระเข้สามพันเปลี่ยนทางเดินใหม่และตื้นเขิน
ซ้ำร้ายยังเกิดโรคห่า (อหิวาตกโรค) อีกด้วย
ขุนหลวงพะงั่วจึงย้ายกลับมาประทับที่ เมืองสองพันบุรี
และภายหลังจึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองนี้เสียใหม่ว่า "เมืองสุพรรณบุรี"
เมื่อ พ.ศ. 1890
เมืองสุพรรณบุรี
ที่สร้างขึ้นในสมัยอู่ทองนั้น ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำสุพรรณบุรี
(ท่าจีน) ยังมีคู
ูและกำแพงเมืองปรากฏอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
แต่ตัวเมืองในปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยงทางฝั่งซ้าย
ของแม่น้ำ
สันนิษฐานว่าคงย้ายมาเมื่อสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เพราะในสมัยกรุงธนบุรีกำลังมีศึกพม่า
เข้ามาประชิดติดพัน
ยังไม่มีเวลาว่างที่จะทรงคิดในเรื่องการสร้างบ้านเมืองใหม่ขึ้นในสมัยรัชกาลที่
3
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ก็แสดงว่าเมืองที่ย้ายมาตั้งขึ้นใหม่นี้ ยังคงเป็นป่าเปลี่ยวอยู่
บ้านเรือนราษฎรก็มี
ีแต่เฉพาะตามริมแม่น้ำเท่านั้น
ลึกจากลำน้ำเข้าไปยังเป็นป่าอยู่แทบทั้งสิ้น
ตามที่สุนทรภู่กวีเอกของไทย
ไปเที่ยวเมืองสุพรรณ ยังพรรณาไว้ในโคลงนิราศสุพรรณว่า
"ได้พบเสืออยู่ในบริเวณเมืองสุพรรณบุรีนี้"
ตั้งแต่สมัยโบราณมีคติถือกันโดยเคร่งครัดต่อกันมาว่า
"ห้ามมิให้เจ้านายเสด็จไปเมืองสุพรรณ" แต่จะห้าม
มาแต่ครั้งใดและด้วยเหตุผลประการใดนั้นไม่มีผู้สามารถจะตอบได้
จนกระทั่งถึงต้นรัชกาลที่ 5 ก็ยังคงถือกัน
เป็นประเพณีอยู่เช่นนี้เรื่อยมา
เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวง
มหาดไทย จะเสด็จไปตรวจราชการที่เมืองนี้
พระยาอ่างทองยังทูลห้ามไว้ โดยถวายเหตุผลว่า เทพารักษ์
หลักเมืองไม่ชอบเจ้านาย
ถ้าเสด็จไปมักจะทำให้เกิดอันตรายต่างๆ แต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ไม่ทรงเชื่อ
ทรงขืนเสด็จไปเมืองสุพรรณบุรีเป็นพระองค์แรก
เพื่อจะทรงตรวจราชการที่เมืองนี้ ควรจะช่วย
เหลือ ให้ความสะดวกอย่างไร
หรือควรทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นอย่างไร
ไม่ใช่การไปทำ
ความชั่ว เทพารักษ์ประจำเมืองคงจะไม่ให้โทษเป็นแน่
เมื่อเสด็จกลับจากตรวจราชการครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่ทรง
ได้รับภยันตรายประการใด
เจ้านายพระองค์อื่นทรงเห็นเช่นนั้นก็ทรงเลิกเชื่อถือคติโบราณ
และเริ่มเสด็จ
ประภาสกันต่อมา เนืองๆ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2447
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาส
เมืองสุพรรณอีกครั้งหนึ่ง
ตั้งแต่นั้นเป็นมาก็ไม่มีผู้ใดพูดถึงคติที่ห้ามเจ้านายมิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณอีกเลย
ในสมัยรัชกาลที่ 5
เมื่อมีการปกครองมณฑลเทศาภิบาล เมืองสุพรรณก็รวมอยู่ในมณฑลนครชัยศรี
ซึ่ง
ประกอบด้วย เมืองนครชัยศรี สุพรรณบุรี และสมุทรสาคร
ในปี พ.ศ. 2438 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2456
มีการเปลี่ยนชื่อเมืองมาเป็นจังหวัด
เมืองสุพรรณบุรีจึงเป็นจังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งแต่นั้นมา ...
*
* * * * * * * * * * |