ประเพณีงานเทศน์มหาชาติ
งานเทศน์มหาชาตินี้
นิยมทำกันหลังออกพรรษาพ้นหน้ากฐินไปแล้ว
อาจทำในวันขี้น ๘
ค่ำกลางเดือน
๑๒
หรือในวันแรม
๘ ค่ำก็ได้
ซึ่งในช่วงนี้น้ำเริ่มลดและข้าวปลาอาหารกำลังอุดมสมบูรณ์
จึงพร้อมใจกันทำบุญทำทานและเล่นสนุกสนานรื่นเริง
แต่ในภาคอีสานนั้นนิยมทำกันในเดือน
๔ เรียกว่า
"งานบุญผะเหวด"
ซึ่งเป็นช่วงที่เสร็จจากการทำบุญลานเอาข้าวเข้ายุ้ง
ในภาคกลาง
บางท้องถิ่นทำกันในเดือน
๕ ต่อเดือน ๖
ก็มี
งานเทศน์มหาชาตินั้นจะทำในกาลพิเศษจะทำในเดือนไหนก็ได้ไม่จำกัดฤดูกาล
โดยมากเพื่อเป็นการหาเงินเข้าวัด
บางแห่งนิยมทำในเดือน
๑๐
การเทศน์มหาชาตินั้น
มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด
๑๓ กัณฑ์
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดรอันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระบรมโพธิสัตว์
ก่อนที่จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะและออกบวชจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังตำนานต่อไปนี้
ตำนานเทศน์มหาชาติ
๑๓ กัณฑ์
การเทศน์มหาชาติ
คือการมหากุศลที่เตือนบุคคลให้น้อมรำลึกถึงการบำเพ็ญบุญ
คือความดีที่ยิ่งยวด
อันมีการสละความเห็นแก่ตัว
เพื่อผลประโยชน์สูงอันไพศาลของมวลมนุษยชาติเป็นสำคัญเป็นเทศกาลที่คงความหมายอย่างแท้จริง
การเทศน์ทุกกัณฑ์จะมีผู้เป็นเจ้าภาพจัดกัณฑ์เทศน์ถวาย
เมื่อพระที่ตนรับกัณฑ์เทศน์ขึ้นเทศน์เจ้าภาพจะจุดเทียนบูชาคาถาหว่านข้าวตอกข้าวสาร
การเทศน์ในสมัยก่อนพระเจ้าของกัณฑ์จะอ่านจากอักษรธรรม(อักษรลาว)
ซึ่งจารลงบนใบลานเป็นแผ่นยาว
คำว่า "จาร"
มาจากภาษาเขมรแปลว่า
การเขียนด้วยเหล็กแหลมบนใบลาน
แต่ปัจจุบันจะนิยมพิมพ์ลงบนใบลานเป็นตัวหนังสือไทยปัจจุบัน
เป็นเรื่องราวในแต่ละกัณฑ์
ทั้งนี้เพื่อความสะดวกสำหรับพระรุ่นใหม่
เมื่อจบกัณฑ์จะตีฆ้องเป็นสัญญาณ
การเป็นเจ้าของกัณฑ์ในหมู่บ้านในชนบทอาจแบ่งเจ้าภาพเป็นคุ้ม
เรื่องราวและประวัติความเป็นมาแต่ละกัณฑ์มีดังนี้
: ฟังเสียงสวดมนต์
- คาถาพัน 
กัณฑ์ที่
๑ ทศพร
เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี
ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดร
ภาคสวรรค์ พระนางผุสดีเทพอัปสรสิ้นบุญท้าวสักกะเทวราช
สวามีทรงทราบจึงพาไปประทับยังสวนนันทวันในเทวโลก
พร้อมให้พร
๑๐ ประการ
คือให้ได้อยู่ในปราสาทของพระเจ้าสิริราชแห่งนครสีพี
ขอให้มีจักษุดำดุจนัยน์ตาลูกเนื้อ
ขอให้มีคิ้วดำสนิท
ขอให้พระนามว่าผุสดี
ขอให้มีโอรสที่ทรงเกียรติยศเหนือกษัตริย์ทังหลายและมีใจบุญ
ขอให้มีครรภ์ที่ผิดไปจากสตรีสามัญคือแบนราบในเวลาทรงครรภ์
ขอให้มีถันงามอย่ารู้ดำและหย่อนยาน
ขอให้มีเกศาดำสนิท
ขอให้มีผิวงาม
และข้อสุดท้ายขอให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษได้
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๑ คลิก

กัณฑ์ที่
๒ หิมพานต์
เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรบริจาคทานช้างปัจจัยนาค
ประชาชนสีพีโกรธแค้นจึงขับไล่ให้ไปอยู่เขาวงกต
พระนางเทพผุสดีได้จุติลงมาเป็นราชธิดาของพระเจ้ามัททราช
เมื่อเจริญชนม์ได้
๑๖ ชันษา
จึงได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งสีวิรัฐนคร
ต่อมาได้ประสูติพระโอรสนามว่า
"เวสสันดร"
ในวันที่ประสูตินั้นได้มีนางช้างฉัททันต์ตกลูกเป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์จึงนำมาไว้ในโรงช้างต้นคู่บารมี
ให้นามว่า "ปัจจัยนาค"
เมื่อพระเวสสันดรเจริญชนม์
๑๖ พรรษา ราชบิดาก็ยกราชสมบัติให้ครอบครองและทรงอภิเษกกับนางมัทรี
พระราชบิดาราชวงศ์มัททราช
มีพระโอรส ๑
องค์ชื่อ ชาลี ราชธิดาชื่อ
กัณหา
พระองค์ได้สร้างโรงทาน
บริจาคทานแก่ผู้เข็ญใจ
ต่อมาพระเจ้ากาลิงคะแห่งนครกาลิงครัฐได้ส่งพราหมณ์มาขอพระราชทานช้างปัจจัยนาค
พระองค์จึงพระราชทานช้างปัจจัยนาคแก่พระเจ้ากาลิงคะ
ชาวกรุงสัญชัย
จึงเนรเทศพระเวสสันดรออกนอกพระนคร
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๒ คลิก

กัณฑ์ที่
๓ ทานกัณฑ์ เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงแจกมหาสัตสดกทาน คือ
การแจกทานครั้งยิ่งใหญ่
ก่อนที่พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรี
ชาลีและกัณหาออกจากพระนคร
จึงทูลขอพระราชทานโอกาสบำเพ็ญมหาสัตสดกทาน
คือ
การให้ทานครั้งยิ่งใหญ่
อันได้แก่
ช้าง ม้า
โคนม นารี
ทาสี ทาสา
สรรพวัตถาภรณ์ต่างๆ
รวมทั้งสุราบานอย่างละ
๗๐๐
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๓ คลิก

กัณฑ์ที่
๔ วนประเวศ เป็นกัณฑ์ที่สี่กษัตริย์เดินดงบ่ายพระพักตร์สู่เขาวงกต
เมื่อเดินทางถึงนครเจตราชทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับพักหน้าศาลาพระนคร
กษัตริย์ผู้ครองนครเจตราชจึงทูลเสด็จครองเมือง
แต่พระเวสสันดรทรงปฎิเสธ
และเมื่อเสด็จถึงเขาวงกตได้พบศาลาอาศรมซึ่งท้าววิษณุกรรมเนรมิตตามพระบัญชาของท้าวสักกะเทวราช
กษัตริย์ทั้งสี่จึงทรงผนวชเป็นฤๅษีพำนักในอาศรมสืบมา
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๔ คลิก

กัณฑ์ที่
๕ ชูชก
เป็นกัณฑ์ที่ชูชกได้นางอมิตดามาเป็นภรรยา
และหมายจะได้โอรสและธิดาพระเวสสันดรมาเป็นทาส
ในแคว้นกาลิงคะมีพราหมณ์แก่ชื่อชูชก
พำนักในบ้านทุนวิฐะ
เที่ยวขอทานตามเมืองต่างๆ
เมื่อได้เงินถึง
๑๐๐ กหาปณะ
จึงนำไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัวเมีย
แต่ได้นำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัว
เมื่อชูชกมาทวงเงินคืนจึงยกนางอมิตดาลูกสาวให้แก่ชูชก
นางอมิตดาเมื่อมาอยู่ร่วมกับชูชก
ได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี
ทำให้ชายในหมู่บ้านเปรียบเทียบกับภรรยาตน
หญิงในหมู่บ้านจึงเกลียดชังและรุมทำร้ายทุบตี
นางอมิตดา
ชูชกจึงเดินทางไปทูลขอกัณหาชาลีเพื่อเป็นทาสรับใช้
เมื่อเดินทางมาถึงเขาวงกตก็ถูกขัดขวางจากพรามเจตบุตรผู้รักษาประตูป่า
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๕ คลิก

กัณฑ์ที่
๖ จุลพน
เป็นกัณฑ์ที่พรานเจตบุตรหลงกลชูชก
และชี้ทางสู่อาศรมจุตดาบส
ชูชกได้ชูกลักพริกขิงแก่พรานเจตบุตรอ้างว่าเป็นพระราชสาสน์ของพระเจ้ากรุงสญชัย
จึงได้พาไปยังต้นทางที่จะไปอาศรมฤๅษี
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๖ คลิก

กัณฑ์ที่
๗ มหาพน
เป็นกัณฑ์ป่าใหญ่
ชูชกหลอกล่ออจุตฤๅษีให้บอกทางสู่อาศรมพระเวสสันดรแล้วก็รอนแรมเดินไพรไปหา
เมื่อถึงอาศรมฤๅษี
ชูชกได้พบกับอจุตฤๅษี
ชูชกใช้คารมหลอกล่อจนอจุตฤๅษีจึงให้ที่พักหนึ่งคืนและบอกเส้นทางไปยังอาศรมพระเวสสันดร
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๗ คลิก

กัณฑ์ที่
๘
กัณฑ์กุมาร เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงให้ทานสองโอรสแก่เฒ่าชูชก พระนางมัทรีฝันร้ายเหมือนบอกเหตุแห่งการพลัดพราก
รุ่งเช้าเมื่อนางมัทรีเข้าป่าหาอาหารแล้ว
ชูชกจึงเข้าเฝ้าทูลขอสองกุมาร
สองกุมารจึงพากันลงไปซ่อนตัวอยู่ที่สระ
พระเวสสันดรจึงลงเสด็จติดตามสองกุมาร
แล้วจึงมอบให้แก่ชูชก
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๘ คลิก

กัณฑ์ที่
๙ กัณฑ์มัทรี
เป็นกัณฑ์ที่พระนางมัทรีทรงได้ตัดความห่วงหาอาลัยในสายเลือด
อนุโมทนาทานโอรสทั้งสองแก่ชูชก
พระนางมัทรีเดินเข้าไปหาผลไม้ในป่าลึก
จนคล้อยเย็นจึงเดินทางกลับอาศรม
แต่มีเทวดาแปลงกายเป็นเสือนอนขวางทาง
จนค่ำเมื่อกลับถึงอาศรมไม่พบโอรส
พระเวสสันดรได้กล่าวว่านางนอกใจ
จึงออกเที่ยวหาโอรสและกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระพักตร์
พระองค์ทรงตกพระทัยลืมตนว่าเป็นดาบสจึงทรงเข้าอุ้มพระนางมัทรีและทรงกันแสง
เมื่อพระนางมัทรีฟื้นจึงถวายบังคมประทานโทษ
พระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่าได้ประทานโอรสแก่ชูชกแล้ว
หากชีวิตไม่สิ้นคงจะได้พบ
นางจึงได้ทรงอนุโมทนา
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๙ คลิก

กัณฑ์ที่
๑๐ สักกบรรพ เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์จำแลงกายเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี
แล้วถวายคืนพร้อมถวายพระพร
๘ ประการ
ท้าวสักกะเทวราชเสด็จแปลงเป็นพราหมณ์เพื่อทูลขอนางมัทรี
พระเวสสันดรจึงพระราชทานให้
พระนางมัทรีก็ยินดีอนุโมทนาเพื่อร่วมทานบารมีให้สำเร็จพระสัมโพธิญาณ
เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวสะท้าน
ท้าวสักกะเทวราชในร่างพราหมณ์จึงฝากนางมัทรีไว้ยังไม่รับไป
ตรัสบอกความจริงและถวายคืนพร้อมถวายพระพร
๘ ประการ
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๑๐ คลิก

กัณฑ์ที่
๑๑ มหาราช เป็นกัณฑ์ที่เทพเจ้าจำแลงองค์ทำนุบำรุงขวัญสองกุมารก่อนเสด็จนิวัติถึงมหานครสีพี
เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ชูชกจะผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้
ส่วนตนเองปีนขึ้นไปนอนต้นไม้
เหล่าเทพเทวดาจึงแปลงร่างลงมาปกป้องสองกุมาร
จนเดินทางถึงกรุงสีพี
พระเจ้ากรุงสีพีเกิดนิมิตฝันตามคำทำนายยังความปีติปราโมทย์
เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็นชูชกพากุมารน้อยสององค์
ทรงทราบความจริงจึงพระราชทานค่าไถ่คืน
ต่อมาชูชกก็ดับชีพตักษัยด้วยเพราะเดโชธาตุไม่ย่อย
ชาลีจึงได้ทูลขอให้ไปรับพระบิดาพระมารดานิวัติพระนคร
ในขณะเดียวกันเจ้านครลิงคะได้โปรดคืนช้างปัจจัยนาคแก่นครสีพี
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๑๑ คลิก

กัณฑ์ที่
๑๒ ฉกษัตริย์
เป็นกัณฑ์ที่ทั้งหกกษัตริย์ถึงวิสัญญีภาพสลบลงเมื่อได้พบหน้า
ณ
อาศรมดาบสที่เขาวงกต
พระเจ้ากรุงสญชัยใช้เวลา
๑ เดือน กับ
๒๓
วันจึงเดินทางถึงเขาวงกต
เสียงโห่ร้องของทหารทั้ง
๔ เหล่า
พระเวสสันดรทรงคิดว่าเป็นข้าศึกมารบนครสีพี
จึงชวนพระนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขา
พระนางมัทรีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดาจึงได้ตรัสทูลพระเวสสันดรและเมื่อหกกษัตริย์ได้พบหน้ากันทรงกันแสงสุดประมาณ
รวมทั้งทหารเหล่าทัพ
ทำให้ป่าใหญ่สนั่นครั่นครืนท้าวสักกะเทวราชจึงได้ทรงบันดาลให้ฝนตกประพรมหกกษัตริย์และทวยหาญได้หายเศร้าโศก
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๑๒ คลิก

กัณฑ์ที่
๑๓ นครกัณฑ์ เป็นกัณฑ์ที่หกกษัตริย์นำพยุหโยธาเสด็จนิวัติพระนคร
พระเวสสันดรขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา
พระเจ้ากรุงสญชัยตรัสสารภาพผิด
พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรี
และเสด็จกลับสู่สีพีนคร
เมื่อเสด็จถึงจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง
ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตกว่า
รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน
พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ประชาชน
ท้าวโกสีห์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว
๗ ประการ
ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง
พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนขนเอาไปตามปรารถนา
ที่เหลือให้ขนเข้าพระคลังหลวง
ในกาลต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรมบ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ
:
ฟังเสียงเทศน์กัณฑ์ที่
๑๓ คลิก

ประเพณีงานบุญผะเหวด
ฟังเทศน์มหาชาติ
อันเป็นประเพณีอันเก่าแก่ที่มีเรื่องราวเล่าขาน
และปฏิบัติสืบทอดมาแต่โบราณ
ยังธำรงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมและประเพณีอันดีงามของชาวอีสาน
อย่างเช่น
จังหวัดร้อยเอ็ดหรือสาเกตนครอันยิ่งใหญ่ในอดีต
ได้จัดงานบุญผะเหวดให้เป็นงานประเพณีประจำปีของจังหวัดทุกๆ
ปี
|