พระพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (Buddha) เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานนับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นศาสดาของตนเหมือนกันแต่รายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน ฝ่ายเถรวาทให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือพระโคตมพุทธเจ้า และกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตกับในอนาคตบ้างแต่ไม่ให้ความสำคัญเท่า ฝ่ายมหายานนับถือพระพุทธเจ้าของฝ่ายเถรวาททั้งหมดและมีการสร้างพระพุทธเจ้าเพิ่มเติมขึ้นมาจนบางองค์มีลักษณะคล้ายเทพเจ้าของศาสนาฮินดู
ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธ ถือกันว่า พระพุทธเจ้า (พระโคตมพุทธเจ้า) พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราชซึ่งเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ 543 ปีก่อนคริสตกาลตามตำราไทยอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และ 483 ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทินสากล
ความหมายของคำว่าพุทธะ
ในพระพุทธศาสนา พุทธะ (ภาษาบาลี พุทฺธ แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน") หมายถึงบุคคลผู้ตรัสรู้อริยสัจ 4 แล้วอย่างถ่องแท้ ในชั้นอรรถกถา จำแนกพุทธะออกเป็น 3 จำพวกด้วยกันได้แก่
1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางทีเรียกเพียง "พระพุทธเจ้า" คือบุคคลที่ตรัสรู้ด้วยตนเองและสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ (พระโคตมพุทธเจ้า) เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
2. พระปัจเจกพุทธะ,อีกอันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้า(อ่านว่า พระ-ปัด-เจก-กะ-พุด-ทะ-เจ้า) คือบุคคลที่ตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่มิได้สอนให้ผู้อื่นรู้ตาม
3. อนุพุทธะ คือบุคคลที่ตรัสรู้เนื่องด้วยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ผู้ที่ตรัสรู้ด้วยด้วยเหตุนี้เรียกว่า พระสาวก
ในอรรถกถาบางแห่งจำแนกเป็น 4 ดังนี้
1. พระสัพพัญญูพุทธะ (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
2. ปัจเจกพุทธะ
3. จตุสัจจพุทธะ (สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้บรรลุอรหัตตผล)
4. สุตพุทธะ (ผู้เป็นพหูสูตร)
คำที่ใช้กล่าวเรียกพระพุทธเจ้า
มีหลายคำดังจะกล่าวต่อไปนี้
� พระบรมโพธิสัตว์, พระโพธิสัตว์ หมายถึง ท่านผู้ที่กำลังบำเพ็ญ บารมี 10 คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐาน เมตา อุเบกขา และ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
� อังคีรส หมายถึง ท่านผู้มีรัศมีแผ่ออกมาจากพระกาย
� สิทธัตถะหมายถึง ท่านผู้ที่มีความเพียรพยายาม เมื่อต้องการสำเร็จ เป้าหมายที่ประสงค์จะทำ
� พระมหาบุรุษ เป็นคำที่ใช้เรียก พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ อีกความหมายหนึ่งคือ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่
� ตถาคต เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงพระองค์เองมี ความหมาย 8 อย่างคือ
1. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น
2. พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น
3. พระผู้เสด็จมาถึงตถลักษณะ
4. พระผู้ตรัสรู้ตถธรรมตามที่มันเป็น
5. พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น
6. พระผู้ตรัสอย่างนั้น
7. พระผู้ทำอย่างนั้น
8. พระผู้เป็นเจ้า
� ตถาคตโพธิสัทธา หมายถึง การเชื่อถือปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต
� ธรรมกาย หมายถึงท่าน ผู้มีธรรมในกาย
� ธรรมราชา หมายถึง ท่านผู้เป็นราชาแห่งธรรม
� ธรรมสวามิศร, ธรรมสามิสร หมายถึง ท่านผู้เป็นใหญ่โดยเป็นเจ้าของธรรม
� ธรรมสามี หมายถึง ท่านผู้เป็นเจ้าของธรรม
� ธรรมิศราธิบดี หมายถึง ท่านผู้เป็นอธิปดีในธรรม เป็นคำกวีหมายถึงพระพุทธเจ้า
� บรมศาสดา, พระบรมศาสดา หมายถึง ท่านผู้เป็น ศาสดาอันยอดยิ่ง พระผู้เป็นครูสูงสุด พระบรมครู
� พระผู้มีพระภาคเจ้า
� พระพุทธเจ้าหมายถึง ท่านผู้รู้ดี รู้ชอบ ด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ
� พระศาสดา หมายถึง ท่านผู้ทรงสอนชนทั้งปวง
� พระสัมพุทธเจ้า, พระสัมมาสัมพุทธเจ้า]], พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
� ภควา หมายถึง ท่านผู้เป็นผู้มีโชค หรือ ท่านผู้จำแนกแจกธรรม
� มหาสมณะ
� โลกนาถ, พระโลกนาถ หมายถึง พระผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลก
� สยัมภู, พระสัมภู หมายถึง ท่านผู้ตรัสรู้ได้โดยตนเอง ไม่มีใครมาสั่งสอน
� สัพพัญญู, พระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า หมายถึง ท่านผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
� พระสุคต, พระสุคโต หมายถึง ท่านผู้เสด็จไปดีแล้ว
พระพุทธเจ้าตามความเชื่อของฝ่ายเถรวาท
พระพุทธรูปปางประทับยืน พบที่ปากีสถาน ศิลปะคันธาระสมัยพุทธศตวรรษที่ 5-6
ในพระไตรปิฏกกล่าวว่า ในอดีตจนถึงปัจจุบันมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว 25 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 25 และพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปคือพระศรีอารยเมตไตรย ในทัสศนะเถรวาทถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ที่เหนือกว่าคนทั่วไปคือพระองค์พบทางดับทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง และเผยแพร่หนทางนั้นต่อสรรพสัตว์ ทรงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ เมื่อทรงดับขันธปรินิพพาน คือดับไปโดยไม่เหลือเชื้อใดๆ ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องทำความดี (บารมี) มาในชาติก่อน ๆ นับชาติไม่ถ้วน (ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระโพธิสัตว์)
การเกิดของพระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาเสด็จอุบัติเป็นพระพุทธเจ้านั้น ก่อนจะลงพระโพธิสัตว์จะทรงเลือก ๕ อย่าง คือ
๑. กาล (อายุขัยของมนุษย์)
อายุขัยของมนุษย์ขึ้นอยู่กับกระแสสังขารและการทำความดี
หากทำดีมากขึ้นอายุก็จะเพิ่มขึ้น หากทำดีน้อยอายุขัยก็จะลดลง
อายุขัยของมนุษย์อยู่ระหว่าง ๑๐ ปีถึง ๑ อสงไขย(๑ ตามด้วยเลข ๐
ถึงหนึ่งร้อยสี่สิบตัว) แต่พระโพธิสัตว์ทรงเลือกอายุขัยมนุษย์ระหว่าง ๑๐๐-๑๐๐,๐๐๐
ปี ถ้าหากน้อยกว่า ๑๐๐
ปีมนุษย์จะมีจิตใจหยาบช้าเกินก็จะฟังธรรมให้แตกจนบรรลุพระนิพพานได้ ถ้าเกิน ๑๐๐,๐๐๐
ปีมนุษย์จะเริ่มประมาทความแก่ ความเจ็บ ความตายเพราะอายุยืนความตายมาถึงช้า
จะไม่เห็นอริยสัจ ๔ หรือธรรมใดๆ
๒. ทวีป(ทวีปที่จะลงมาประสูติ)
พระโพธิสัตว์เลือกชมพูทวีปเป็นทวีปที่จะจุติทุกครั้ง
เพราะมนุษย์ในชมพูทวีปมีทั้งความสุขและความทุกข์
มีความเห็นทุกข์ เห็นสุข ได้ดีกว่ามนุษย์ในทวีปอื่นๆ
สาเหตุอีกอย่างที่เลือกมนุษย์เพราะมนุษย์เห็นสุขทุกข์ได้ง่ายที่สุด
สัตว์ในอบายภูมิ ๔ มีแต่ความทุกข์ไม่เห็นสุขกระจ่าง
เทวดาพรหมก็เห็นสุขมากกว่าทุกข์จนยากที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ได้
อีกทั้งมนุษย์ทำบุญได้ จึงทรงเลือกมนุษย์
๓. ประเทศ (ประเทศที่จะประสูติ)
พระโพธิสัตว์จะทรงเลือกประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง เศรษฐกิจดี
มีประชากรหนาแน่น มีนักปราชญ์ เจ้าสำนัก
เป็นที่รวมของการศึกษาและศิลปวิทยามากมาย มีผู้มีคุณธรรมมากมาย
จะสามารถเผยแพร่ธรรมให้รุ่งเรือง มีคนรู้มากได้
๔.ตระกูล (ตระกูลที่จะประสูติ)
พระโพธิสัตว์ทรงเลือกได้ระหว่าง ตระกูลกษัตริย์ กับ ตระกูลพราหมณ์
ว่าในช่วงเวลานั้นตระกูลใดเจริญมากกว่ากัน ได้รับการยอมรับมากกว่ากัน ใน ๔
อสงไขยแสนมหากัปล่าสุดนี้มีพระพุทธเจ้าจากตระกูลกษัตริย์มากกว่า แต่ในภัทรกัปป์นี้มีพระพุทธเจ้าจากตระกูลพราหมณ์มากกว่า
(พระกกุสันธะ พระโกนาคมณ์
พระกัสสปะ และพระศรีอาริยเมตไตรย)
มีเพียงพระโคตมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวที่มาจากตระกูลกษัตริย์
พระโพธิสัตว์ผู้ได้มาจุติเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ ทรงเลือกตระกูลศากยโคตมวงศ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์นคร
เพราะได้รับความนับถือมาก และบริสุทธิ์มา ๗ รุ่นแล้ว
ถ้าไม่บริสุทธิ์แล้วลงมาจุติแล้วเป็นพระพุทธเจ้าก็ยากที่จะได้รับการนับถือ
สาเหตุที่เลือกตระกูลกษัตริย์เพราะในช่วงเวลานั้นมีการแบ่งชนชั้นวรรณะกัน
และวรรณะกษัตริย์เป็นวรรณะที่มีคนนับถือมากที่สุด จึงทรงเลือกวรรณะกษัตริย์
๕.มารดา (มารดาผู้ให้กำเนิดและกำหนดอายุของพระมารดาหลังประสูติ)
พระโพธิสัตว์จะทรงเลือกผู้หญิงจากตระกูลกษัตริย์หรือพราหมณ์ที่รักษาศีล
รักษาธรรมได้ดีที่สุด บริสุทธิ์ทางกาย วาจา ใจ ไม่ดื่มสุรา ไม่หลงในอบายมุข
ไม่โลเลในบุรุษ และทรงกำหนดอายุของพระมารดาว่ามีประมาณเท่าใด
เพราะพระครรภ์ที่ประทับแห่งพระโพธิสัตว์ผู้จะได้เสด็จอุบัติตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
เปรียบประดุจพระคันธกุฎีแห่งพระบรมศาสดา ไม่สมควรแก่ผู้อื่น
พระบรมโพธิสัตว์ทรงเลือกพระมารดาที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนมลทินโทษ
มิฉะนั้นจะยากแก่การเผยแผ่ศาสนา
เพราะจะถูกโจมตีว่ามารดาของพระศาสดาไม่บริสุทธิ์
พระนางสิริมหามายาได้อธิษฐานเป็นพระพุทธมารดามาแต่อดีตกาล
เมื่อประสูติพระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้ ๗ วันก็เสด็จทิวงคต
ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสถิตในดุสิตเทวโลก ตามประเพณี
พระพุทธมารดาไม่ได้เป็นหญิงอย่างเก่า
ที่เกิดเป็นหญิงเพราะอธิษฐานขอเป็นมารดาพระพุทธเจ้า
ประเภทของพระพุทธเจ้า
ในพระไตรปิฎกจะแบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าไว้ดังนี้ การแบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าตามวิธีการสร้างบารมี[1],
1. ปัญญาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๔ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐ ๐๐๐ กัป
2. ศรัทธาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๘ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐ ๐๐๐ กัป
3. วิริยะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๑๖ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐ ๐๐๐ กัป
พระพุทธเจ้าในอดีต
ดูเพิ่มที่ พระพุทธเจ้าในอดีต
พระพุทธเจ้าในอนาคต
ในคัมภีร์อนาคตวงศ์นั้น ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอนาคตได้ระบุว่าจะมีทั้งสิ้น 10 พระองค์ ดังนี้ [2]
� พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือพระอชิตเถระ ตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง พระชนม์ 8 หมื่นพรรษา พระกายสูง 80 ศอก
� พระรามสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคืออุตมรามราช ตรัสรู้ที่ไม้แก่นจันทน์แดง พระชนม์ 9 หมื่นพรรษา พระกายสูง 80 ศอก
� พระธรรมราชสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือพระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง พระชนม์ 5 หมื่นพรรษา พระกายสูง 16 ศอก
� พระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคืออภิภูเทวราช ตรัสรู้ที่ไม้รังใหญ่ พระชนม์ 1 แสนพรรษา พระกายสูง 80 ศอก
� พระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคืออสุรินทราหู ตรัสรู้ที่ไม้แก่นจันทน์แดง พระชนม์ 1 หมื่นพรรษา พระกายสูง 20 ศอก
� พระรังสีมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือจังกีพราหมณ์ ตรัสรู้ที่ไม้ดีปลีใหญ่หรือไม้เลียบ พระชนม์ 5 พันพรรษา พระกายสูง 60 ศอก
� พระเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือสุภพราหมณ์ ตรัสรู้ที่ไม้จำปา พระชนม์ 8 หมื่นพรรษา พระกายสูง 80 ศอก
� พระสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือโตเทยยพราหมณ์ ตรัสรู้ที่ไม้แคฝอย พระชนม์ 80 พรรษา พระกายสูง 60 ศอก
� พระติสสสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือช้างนาฬาคีรี ตรัสรู้ที่ไม้ไทร พระชนม์ 8 หมื่นพรรษา พระกายสูง 80 ศอก
� พระสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือช้างปาลิไลยกะ ตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง พระชนม์ 1 แสนพรรษา พระกายสูง 60 ศอก
พระพุทธเจ้าตามความเชื่อของฝ่ายมหายาน
นิกายมหายานยอมรับพระพุทธเจ้าตามคัมภีร์ฝ่ายเถรวาททั้งหมดและยังสร้างพระพุทธเจ้าอีกมากมาย ทั้งที่เป็นมนุษย์และมีสถานะเหมือนเทพเจ้าในศาสนาฮินดู นิกายมหายานเชื่อว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไม่ดับสูญแต่ไปประทับ ณ พุทธเกษตรซึ่งเป็นดินแดนที่งดงามกว่าสวรรค์ พระพุทธเจ้าตามคติมหายานแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. อาทิพุทธะ ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติมาพร้อมกับโลกและประทับอยู่กับโลกเป็นนิรันดร์ มีบทบาทคล้ายพระพรหมในศาสนาฮินดูที่เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล
2. พระมานุสสพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าที่อวตารมาจากอาทิพุทธะมาเกิดในโลกมนุษย์และบำเพ็ญเพียรในฐานะพระโพธิสัตว์จนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อปรินิพพานแล้วจะไปอยู่กับอาทิพุทธะ คล้ายกับคติของศาสนาฮินดูที่เมื่อทำความดีถึงขั้นสูงสุดจะกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของมหาพรหม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจจุบัน ทางมหายานเรียกว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นพระมานุสสพุทธะด้วยเช่นกัน
3. พระธยานิพุทธะ เป็นพุทธะที่อวตารมาจากอาทิพุทธะเช่นกันแต่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าด้วยอำนาจฌาน (ธยาน) ของอาทิพุทธะไม่ได้ผ่านการบำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ พุทธะเหล่านี้ประทับบนสวรรค์ ในสภาวะกายทิพย์ มีเฉพาะพระโพธิสัตว์ที่มองเห็นได้
4. พระพุทธเจ้าอื่นๆ เช่น พระสัทธรรมวิทยาตถาคต พระไภษัชยคุรุทั้ง 7 พระสหัสประภาราชาศานติสถิตยตตถาคต พระประภูตรัตนะ
จำนวนของพระพุทธเจ้า
ในคัมภีร์ของทางมหายานนั้นได้ระบุนามของพระพุทะเจ้าไว้เป็นจำนวนมาก มีทั้งพระพุทธเจ้า 35 พระองค์ พระพุทธเจ้า 53 พระองค์ และที่มากที่สุดคือพระพุทธเจ้า 3,000 พระองค์ โดยแบ่งเป็น [3]
� พระพุทธเจ้าในกัปป์อดีตซึ่งระบุนามไว้ในคัมภีร์อดีตสมัยอลังการกัลป์สหัสพุทธนามสูตร 1,000 พระองค์ เริ่มจากพระปุณฑริกประภาพุทธเจ้าเป็นองค์แรกจนถึงพระเวศภูพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย
� พระพุทธเจ้าในกัปป์ปัจจุบันซึ่งระบุนามไว้ในคัมภีร์ปัจจุบันสมัยภัทรกัลป์สหัสพุทธนามสูตร 1,000 พระองค์ เริ่มจากพระวิปัสสีพุทธเจ้าเป็นองค์แรกจนถึงพระรุจิพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย ซึ่งพระรุจิพุทธเจ้านี้ปัจจุบันคือพระเวทโพธิสัตว์
� พระพุทธเจ้าในกัปป์อนาคตซึ่งระบุนามไว้ในคัมภีร์อนาคตสมัยนักษัตรกัลป์สหัสพุทธนามสูตร 1,000 พระองค์ เริ่มจากพระสูรยประภาพุทธเจ้าเป็นองค์แรกจนถึงพระสุเมรุลักษณ์พุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย
อ้างอิง
2. ^ ประชุมพงศาวดารฉบับราษฏร์ ภาค 3 อนาคตวงศ์. กทม. อมรินทร์วิชาการ. 2542 และ ดู : https://www.84000.org/anakot/index.html
3. ^ ภิกษุจีนวิศวภัทร. พระพุทธเจ้าและพระธรรมสูตรฝ่ายมหายาน. กทม. หมื่นคุณธรรมสถาน.2549
� ประสงค์ แสนบุราณ. พระพุทธศาสนามหายาน. กทม. โอเดียนสโตร์. 2548
� พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์".
� พระพุทธเจ้า ในสายตานักปราชญ์โลก
� ธรรมะไทย : พระพุทธเจ้า 25 พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบ